sea

sea

Friday, March 11, 2016

The dressmaker รีวิว - หนังแฟชั่นตลกสายดาร์ก (review)



ก่อนอื่นต้องขอบอกกับเพื่อนๆก่อนว่าใครที่โลกสวยต้องคิดดีๆเลยค่ะ อย่าพึ่งสงสัยว่ามันเป็นหนังแฟชั่นไม่ใช่เหรอ? มันมีมุกตลกด้วยนะ แล้วทำไมถึงพูดแบบนี้หล่ะ (ฮา) คืออยากจะบอกว่าตัวอย่างหนังกับหนังเต็มเรื่องนั้นไม่เหมือนกันเลยค่ะ เหมือนผู้กำกับจงใจแกล้งผู้ชมอย่างงั้นเลย555 ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้านเกิดมาแก้แค้นแล้วทุกอย่างสงบสุขแฮปปี้ แต่ไหงเรื่องนี้กลับทำร้ายจิดใจได้เพียงนี้ 

เรื่องย่อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของหญิงสาว ทิลลี่ ดันเนธ ที่เป็นช่างตัดเสื้อผู้นำแฟชั่นและมากฝีมือ ได้เดินทางกลับบ้านเกิดของเธอที่เมืองชนบทในออสเตเรียหลังจากถูกส่งตัวออกนอกเมืองเมื่อ 10 ปีที่แล้วด้วยข้อหาที่ว่าเธอเป็น 'ฆาตกร' ฆ่าเพื่อนผู้ชายของตนเอง เธอเลยได้กลับมาเพื่อที่จะหาข้อความจริงว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นฆาตกรหรือไม่โดยการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อผูกใจชาวบ้านและกลับมาแก้แค้นด้วย
เธอได้กลับมาตัดเย็บเสื้อผ้ากับแม่ของเธอ ในระหว่างที่เธอไม่อยู่ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูแลแม่ของเธอตลอดมานั่นก็คือ เท็ดดี้(พระเอกของเรื่องนั่นเอง) 


ฉากเปิดเลยคือนางถือกระเป๋าใส่จักรเย็บผ้ายี่ห้อ singer ซึ่งมันดูเป็นเอกลักษณ์ของยุค 50's มากๆ


ฉากที่นางเอกไปเผยตัวให้เห็นชาวบ้านในการแข่งขันกีฬา เนื่องจากนางเซกซี่เกินไปเลยทำให้นักกีฬาไม่มีสมาธิในการแข่งขัน (มันก็จริงแหละ55) ส่วนคนด้านซ้ายของนางก็คือตำรวจผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่และคอยช่วยเหลือนางตลอด



ในเมื่อเรื่องนี้เป็นหนังแฟชั่นมันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่ชุดในเรื่องจะไม่เด่น (ไม่เลยจริมๆ)ใครที่ชื่นชอบแฟชั่นยุค 50's อยากจะบอกว่านางจัดเต็มมากๆ


นางเอกกลับมาแก้แค้นละจ้า



นอกจากนางเอกจะแซ่บแล้วอย่าลืมว่าพระเอกของเราก็ไม่น้อยหน้านะก้าาา มีฉากโรแมนติดกให้ฟินเวอร์ตลอด แต่อย่าพึ่งดีใจไปนะคะถ้าดูแล้วจะรู้ซึ้งเองค่ะ 55

ชีวตในวัยเด็กของนางเอกน่าสงสารมากๆ นางมักจะโดนแกล้งและโดนทำร้ายเสมอ  ในหมู่บ้านนี้มีคนอยู่หลายประเภทมากๆ และทุกคนต่างก็เกลียดนางเอก โดยเฉพาะคุณครูที่คอยจะเอาแต่ทำร้ายเธอ  ยกเว้นพระเอกกับพี่ชายของพระเอกผู้ที่สติไม่สมประกอบและตำรวจเท่านั้นที่ไม่เกลียดเธอ 



และพี่ชายของพระเอกก็คือผู้ที่จะเฉลยความจริงทั้งหมดเพราะเขาเป็นคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดว่านางเอกคือฆาตกรจริงๆหรือไม่


ใครบอกว่าหนังตลกจะเศร้าไม่ได้ เรื่องนี้มีทุกรสทุกอารมณ์ มีมุกฮาๆแทรกตลอดทั้งเรื่องแต่ก็แฝงไปด้วยความดาร์ก ความเศร้าและน่าสงสารที่เป็นไปยากที่จะไม่ร้องไห้ตามนางเอก 

จริงๆแล้วแล้วหนังเรื่องนี้มันค่อนข้างหดหู่มากๆ ทำให้เห็นความจริงของชีวิตว่าไม่มีอะไรที่จะจบลงอย่างสวยงามทั้งหมด ความเกลียด การแก้แค้น ความเจ็บปวดที่มันฝังลึกอยู่ข้างในจิตใจ 
นอกจากนี้ยังสะท้อนอารมณ์ได้หลายแนวมากๆจนถึงกับอึ้งว่ามันจริงหรือเนี่ย นี่กะจะให้มันเป็นแบบนี้จริงๆใช่มั้ย ม่ายยยยย

เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่มีหลายความรู้สึกในเรื่องเดียวกัน หลายอารมณ์หลายความคิด นอกจากนี้เรื่องยังมีการสืบสวนอยู่เล็กน้อยกับการที่นางเอกหาข้อมูลแล้วได้พบกับความจริงที่เป็นเบื้องหลังของเรื่องราวต่างๆ 

ที่เล่ามาข้างต้นไม่มีมีสปอยส์เลยนะคะ เพราะเรื่องมันสนุกดาร์กพลิกล็อกแบบโคตรรรรร 
เกินกว่าจะสปอยส์ได้ ต้องดูเองแล้วจะเข้าใจว่าทำไมโลกสวยถึงไม่ควรดู


แม่ของนางเอกที่น่าสงสารมากๆ นางต้องพลัดพรากจากลูกอันเป็นที่รักไป แต่นางก็มีสีสันให้กับเรื่องอย่างสุดๆเลยค่ะ


พระเอกและนางเอก แซ่บลืมมม


คะแนน 10/10 ไปเลยค่ะ 
ไม่เคยคิดว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วจะได้รับอะไรมากมายขนาดนี้มาก่อน

เพลงก็เพราะ
คอสตูมก็ปังเวอร์
เนื้อเรื่องก็พลิกมาก
มุกก็ฮา
พระเอกก็หล่อนางเอกก็เซกซี่ (เกี่ยวมั้ย555)


Stressed Out - twenty one pilots แปลเพลง (lyrics)




I wish I found some better sounds no one's ever heard,
I wish I had a better voice that sang some better words,
I wish I found some chords in an order that is new,
I wish I didn't have to rhyme every time I sang,

ฉันขอภาวนาให้ฉันทำบทเพลงได้ดีขึ้นแบบที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน
ฉันขอภาวนาให้ฉันมีเสียงที่ดีกว่าเดิมเพื่อที่จะได้ร้องเพลงได้ดีขึ้น
ฉันขอภาวนาให้ฉันได้พบคอร์ดเพลงใหม่ๆ
ฉันขอภาวนาให้ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เสียงสัมผัสแต่สามารถรองมันออกมาได้ทุกๆครั้ง

I was told when I get older all my fears would shrink,
But now I'm insecure and I care what people think.

ฉันถูกบอกมาว่าถ้าฉันโตขึ้นความกลัวทั้งหมดของฉันมันจะอยู่ลึกลงไป
แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจ และฉันก็แคร์กับสิ่งที่คนอื่นคิดนะ

My name's 'Blurryface' and I care what you think.
My name's 'Blurryface' and I care what you think.

ฉันชื่อว่า Blurryface และฉันก็แคร์นะกับสิ่งที่พวกคุณคิด
ฉันชื่อว่า Blurryface และฉันก็แคร์นะกับสิ่งที่พวกคุณคิด

Wish we could turn back time, to the good ol' days,
When our momma sang us to sleep but now we're stressed out.
Wish we could turn back time, to the good ol' days,
When our momma sang us to sleep but now we're stressed out.

ภาวนาให้พวกเราย้อนเวลากลับไปยังวันเก่าๆที่แสนดี
ตอนที่แม่ร้องเพลงกล่อมพวกเราให้เข้านอน แต่ตอนนี้พวกเรามีแต่ความเครียดถาโถมเข้าใส่
 ภาวนาให้พวกเราย้อนเวลากลับไปยังวันเก่าๆที่แสนดี
ตอนที่แม่ร้องเพลงกล่อมพวกเราให้เข้านอน แต่ตอนนี้พวกเรามีแต่ความเครียดถาโถมเข้าใส่


We're stressed out.
พวกเรามีแต่เรื่องเครียด

Sometimes a certain smell will take me back to when I was young,
How come I'm never able to identify where it's coming from,
I'd make a candle out of it if I ever found it,
Try to sell it, never sell out of it, I'd probably only sell one,

บางครั้งกลิ่นบางกลิ่นก็ทำให้ฉันนึกถึงตอนยังเด็ก
แต่ทำไมฉันถึงไม่สามารถบอกได้ว่ากลิ่นมันมาจากที่แห่งใด
ฉันคงจะเอากลิ่นนี้มาทำเทียนหอมแน่ๆถ้าพบที่มาของมัน
แล้วก็ลองขายมันดู แต่ไม่ขายหมดหรอกนะ จะลองขายแค่เล่มเดียวดู

It'd be to my brother, 'cause we have the same nose,
Same clothes homegrown a stone's throw from a creek we used to roam,
But it would remind us of when nothing really mattered,
Out of student loans and treehouse homes we all would take the latter.

มันต้องมาจากพี่ชายฉันแน้ๆ เพราะว่าเรามีจมูกเหมือนกัน
เสื้อก็เหมือน โตมาจากบ้านหลังเดียวกัน และก็เคยโยนก้อนหินในลำธารที่ไปเที่ยวด้วยกัน
แต่มันก็ย้ำเตือนให้พวกเรานึกถึงเวลาที่ไม่มีอะไรสำคัญเลย
ตอนที่ให้เลือกระว่างค่าเล่าเรียนกับบ้านตนไม้ ทุกคนก็คงจะเลือกอย่างหลัง

My name's 'Blurryface' and I care what you think.
My name's 'Blurryface' and I care what you think.

ฉันชื่อว่า Blurryface และฉันก็แคร์นะกับสิ่งที่พวกคุณคิด
ฉันชื่อว่า Blurryface และฉันก็แคร์นะกับสิ่งที่พวกคุณคิด


Wish we could turn back time, to the good ol' days,
When our momma sang us to sleep but now we're stressed out.
Wish we could turn back time, to the good ol' days,
When our momma sang us to sleep but now we're stressed out.

ภาวนาให้พวกเราย้อนเวลากลับไปยังวันเก่าๆที่แสนดี
ตอนที่แม่ร้องเพลงกล่อมพวกเราให้เข้านอน แต่ตอนนี้พวกเรามีแต่ความเครียดถาโถมเข้าใส่
 ภาวนาให้พวกเราย้อนเวลากลับไปยังวันเก่าๆที่แสนดี
ตอนที่แม่ร้องเพลงกล่อมพวกเราให้เข้านอน แต่ตอนนี้พวกเรามีแต่ความเครียดถาโถมเข้าใส่


We used to play pretend, give each other different names,
We would build a rocket ship and then we'd fly it far away,
Used to dream of outer space but now they're laughing at our face,
Saying, "Wake up, you need to make money."
Yo.

เราเคยเล่นสวมบทบาท ตั้งชื่อต่างๆให้กัน
เราเคยอยากจะสร้างยานอวกาศแล้วบินไปให้ไกล
เคนเฝ้าฝันถึงนอกอวกาศแต่ตอนนี้พวกเขากลับหัวเราะใส่หน้าเรา
แล้วพูดว่า'ตื่นเถอะ ออกไปหาเงินได้แล้ว'

We used to play pretend, give each other different names,
We would build a rocket ship and then we'd fly it far away,
Used to dream of outer space but now they're laughing at our face,
Saying, "Wake up, you need to make money."
Yo.

เราเคยเล่นสวมบทบาท ตั้งชื่อต่างๆให้กัน
เราเคยอยากจะสร้างยานอวกาศแล้วบินไปให้ไกล
เคนเฝ้าฝันถึงนอกอวกาศแต่ตอนนี้พวกเขากลับหัวเราะใส่หน้าเรา
แล้วพูดว่า'ตื่นเถอะ ออกไปหาเงินได้แล้ว'

Wish we could turn back time, to the good ol' days,
When our momma sang us to sleep but now we're stressed out.
Wish we could turn back time, to the good ol' days,
When our momma sang us to sleep but now we're stressed out.

ภาวนาให้พวกเราย้อนเวลากลับไปยังวันเก่าๆที่แสนดี
ตอนที่แม่ร้องเพลงกล่อมพวกเราให้เข้านอน แต่ตอนนี้พวกเรามีแต่ความเครียดถาโถมเข้าใส่
 ภาวนาให้พวกเราย้อนเวลากลับไปยังวันเก่าๆที่แสนดี
ตอนที่แม่ร้องเพลงกล่อมพวกเราให้เข้านอน แต่ตอนนี้พวกเรามีแต่ความเครียดถาโถมเข้าใส่


Used to play pretend, used to play pretend, bunny
We used to play pretend, wake up, you need the money
Used to play pretend, used to play pretend, bunny
We used to play pretend, wake up, you need the money
We used to play pretend, give each other different names,
We would build a rocket ship and then we'd fly it far away,
Used to dream of outer space but now they're laughing at our face,
Saying, "Wake up, you need to make money."
Yo.

เราเคยเล่นสวมบทบาทกัน
เราเคยเล่นสวมบทบาทกัน แต่ ตื่นเถอะ ออกไปหาเงินได้แล้ว
เราเคยเล่นสวมบทบาทกัน
เราเคยเล่นสวมบทบาทกัน แต่ ตื่นเถอะ ออกไปหาเงินได้แล้ว
เราเคยเล่นสวมบทบาท ตั้งชื่อต่างๆให้กัน
เราเคยอยากจะสร้างยานอวกาศแล้วบินไปให้ไกล
เคนเฝ้าฝันถึงนอกอวกาศแต่ตอนนี้พวกเขากลับหัวเราะใส่หน้าเรา
แล้วพูดว่า'ตื่นเถอะ ออกไปหาเงินได้แล้ว'

Wednesday, March 9, 2016

แนะนำ12หนังสือนิยายภาษาอังกฤษที่น่าอ่านในช่วง Summer นี้






pics from: www.telegraph.co.uk


บางที summer เราก็ควรหาเวลาว่างในการอ่านหนังสือดีๆซักเล่ม เวลาเดินทางหรือพักผ่อนเบื่อๆก็สามารถหยิบมาอ่านได้ วันนี้เราเลยมีนิยายภาษาอังกฤษที่เหมาะสำหรับอ่านในช่วงซัมเมอร์สุดๆ อ่านไปก็อินไปกับบรรยากาศเลยจ้าาา


1.NO WHERE BUT HERE


Emily หญิงสาวอายุ 17ปี ที่มีความสุขกับชีวิตของตัวเองทั้งครอบครัว เพื่อนที่ดี โรงเรียนและเพื่อนบ้านที่ปลอดภัย และแน่นอนเธอก็อยากรู้เกี่ยวกับชีวิตของพ่อตัวเองที่มักจะใช้เวลาไปอยู่กับกลุ่มคนรักมอเตอร์ไซด์ที่หัวรุนแรง เธอจึงไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งในโลกของพ่อเท่าไหร่ แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็จะต้องรู้บางอย่างที่มากกว่านั้น




2.EVEN IN THE PARADISE



When Julia Buchanan enrolls at St. Anne’s at the beginning of junior year, Charlotte Ryder already knows all about the former senator’s daughter. Most people do... or think they do. Charlotte certainly never expects she’ll be Julia’s friend. But almost immediately, she is drawn into the larger than-life-new girl’s world—a world of midnight rendezvous, dazzling parties, palatial vacation homes, and fizzy champagne cocktails. And then Charlotte meets, and begins falling for, Julia’s handsome older brother, Sebastian. But behind her self-assured smiles and toasts to the future, Charlotte soon realizes that Julia is still suffering from a tragedy. A tragedy that the Buchanan family has kept hidden... until now 


3.THE DISTANCE BETWEEN US



Caymen Meyers เด็กสาววัย 17 ปี เธออาศัยอยู่กับแม่เพียงลำพังในร้านขายตุ๊กตา ที่นั่นเธอได้เรียนรู้ว่าพวกคนรวยมีอะไรที่แตกต่างจากเธอมากมายนัก และสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจเหลือเกินคือคนพวกนั้นมีดีอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นคือการใช้เงินหมดไปกับของไร้สาระอย่างตุ๊กตาในร้านของแม่เธอ แต่แล้วเมื่อวันหนึ่ง Xander Spence ได้ก้าวเข้ามาในร้าน มองแค่แวบเดียว Caymen ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็คงไม่ต่างจากพวกลูกค้ากระเป๋าหนัก แต่ขี้เบื่อคนอื่นๆแต่เธอคิดผิด
ยังคอยมาหาเธอไม่ขาด แล้วคราวนี้ Caymen จะทำยังไงดีล่ะ ทั้งที่หัวใจเตือนให้อยู่ห่างจากเขา แต่ยิ่งอยู่ใกล้ Xander เท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหน! แต่เส้นทางมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เธอคิด Caymen ตระหนักดีว่าแม่ของเธอเกลียดพวกคนรวยเข้าไส้ สักวันหนึ่งเเม่เธอคงจะรู้เรื่องความสัมพันธ์นี้เข้า และต้องต่อต้านเธอเป็นแน่ แม้ Xander จะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าการที่เขามีฐานะ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีนิสัยแย่ๆเหมือนคนอื่น แต่ Caymen กลับพบว่าเงินนั้น..เป็นส่วนสำคัญในความสัมพันธ์ครั้งนี้ยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก

4.LOOKING FOR ALASKA



อลาสก้าขึ้นชื่อว่าตัวร้ายในโรงเรียน ทว่าชีวิตครอบครัวของเธอน่าสงสารยิ่งนัก วันหนึ่งขณะที่รวมกลุ่มกันเล่นแผลงๆ ตกดึกก็มาแอบกินเหล้ากันในหอพัก แล้วจู่ๆเธอก็ลุกขึ้นขับรถออกไปตอนกลางคืน จุดนั้นเองคือการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเธอ เพื่อนๆ ทุกคน เรียกว่าทั้งโรงเรียนประจำแห่งนั้นก็ได้ พากันเศร้าสลดกับเหตุการณ์ จนมาสะกิดใจว่า ทำไมอลาสก้าต้องออกไป จากนั้นจึงเป็นการพยายามสืบหาเบื้องหลังของการขับรถออกไปคนเดียวจนประสบอุบัติเหตุ


5.YES PLEASE



รื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่อAmy Poehler เธอจะมาเล่าเกี่ยวกับpersonal storiesheart_eyes มีทั้งตลกปนเรื่องเซกซ์นิดหน่อย และยังเล่าถึง ความรัก มิตรภาพ ความเป็นพ่อแม่ และเรื่องราวต่างๆในชีวิตจริง เรื่องนี้ทั้งตลกและเมื่อถึงเวลาที่จริงจังก็มีสาระมากมาย อ่านแล้วเข้าถึงผู้เขียนสุดๆค่ะ


6.Amy & rogers epic detour



Amy curry ไม่ได้อยากที่จะหาอะไรทำในช่วงฤดูร้อนแต่แม่ของเธอตัดสินใจที่จะย้ายไปต่างประเทศและตอนนี้ก็เป็นความรับผิดชอบของamy ที่จะต้องขับรถจาก California ไปยัง ปัญหาเดียวก็คือ ตั้งแต่พ่อของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุขณะขับรถ เธอยังไม่พร้อมที่จะมาประขับรถให้เคลื่อนตามถนนได้ roger.เพื่อนของเธอจากครอบครัวเก่าแก่ข้างบ้าน,เขาก็มีทริปขับรถข้ามประเทศเช่นกันและถึงแม้ถนนนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมิตรภาพของพวกเขา พวกเขาต้องไปในดินแดนที่แปลกใหม่หนทางที่ไม่รู้จักมาก่อนjapan แต่ถึงอย่างไร amy และ roger ก็จะสร้างแผนที่ของทางเดินพวกเขาที่จะห้าวไปด้วยกันแน่นอน



7.the girl on the train



เรื่องถูกเล่าผ่านตัวละครผู้หญิง 3 คน Rachel, Megan กับ Anna เริ่มต้นเรื่องด้วย Rachel นางเป็นขี้เมา ผัวทิ้ง ถูกไล่ออกจากงาน แต่ยังหลอกเพื่อนร่วมบ้านโดยการนั่งรถไฟออกไปทำงานทุกวัน รถไฟที่เธอนั่งจะผ่านบ้านบนถนน Blenheim เธอเฝ้ามองคู่สามีภรรยาของบ้านหลังหนึ่งจากบนรถไฟแล้วจินตนาการเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา บ้านหลังนั้นคือบ้านของ Megan และบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ กันที่เธอไม่อาจแสร้งเป็นมองไม่เห็นมัน เป็นบ้านของผัวเก่ากับเมียใหม่ของเขา Anna แล้วพล็อตของเรื่องก็ถูกสร้างผ่านเหตุการณ์การหายตัวไปของ Megan และจากบนรถไฟนั้น Rachel เห็นว่า Megan อาจจะมีชู้ และเธอไม่อาจระงับแรงกระตุ้นที่อยากเข้าไปยุ่งไม่ได้ ความซับซ้อนในเกมรักเกมอารมณ์อยู่ในระดับโอเค แต่การบรรยายความรู้สึกนึกคิดของพวกเธอนั้น Hawkins ทำได้ชวนเชื่อดีทีเดียว ลีลาการเผยแง้มปมก็เข้าท่า ถือว่าลงตัวการสร้างบรรยากาศชวนหลอน ชวนหดหู่ ก็ออกมาดี อ่านเพลิน ไม่ทันรู้สึกเบื่อเราก็พลิกหน้าหนังสือไปจนถึงจุดที่ไม่อาจถอนตัว



8.LOVE ROSIE



ขอบอกว่าตลกมากแอบจิตนิดๆและซึ้งสุดๆ เป็นเรื่องราวของ “โรซี่ ดันน์” และ “ อเล็กซ์ สจ็วต” ที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กและวาดฝันไว้ด้วยกันว่าจะเข้ามหาลัยในที่เดียวกัน แต่หลังจากปาตี้โรซี่ดันพลาดตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความรักที่มีต่ออเล็กซ์จึงทำให้โรซี่ไม่อยากเป็นถ่วง ที่ทำให้อเล็กซ์ทิ้งความฝันที่วาดไว้ จึงปล่อยให้อเล็กซ์ไปเรียนต่อและได้เจอสังคมใหม่แต่เพียงคนเดียวด้วยระยะเวลาที่ห่างไกล และด้วยเวลาที่แสนจะยาวนานไหนจะสังคมใหม่ที่อเล็กซ์ได้เจอ เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้การกลับมาพบกันอีกครั้งของโรซี่และอเล็กซ์ มันเป็นกลายข้อพิสูจน์ที่ทำให้คนดูต้องมานั่งลุ้นกันว่า 2 คนนี้จะเป็นคู่แท้กันหรือไม่ และจะลงเอยกันอย่างไร

9.THE SUMMER I TURN PRETTY



Belly เด็กสาวอายุ 16 ปี ทุกๆซัมเมอร์เธอ แม่ และพี่ชายมีแพลนว่าจะไปเที่ยวที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลของSusannahเพื่อนสนิทแม่ ที่นั่นเธอจะได้พบกับJeremiah , Conrad ลูกชายของSusannah ทั้งJereและConต่างเป็นทั้งพี่ชาย เพื่อนสนิท และที่สำคัญConยังเป็นรักแรกของเธอตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยซะด้วยสิ! จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเพื่อนเล่นสมัยเด็กกลับกลายเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เล่มนี้ชอบเจียมากๆ คาแรกเตอร์แบบพระรองแสนดี ขี้เล่น แต่นางเอกไม่เอา ฮ่าๆ เบลลี่นี่เรารู้สึกรำคาญนิดนึง เพราะนางจะค่อนข้างหลงตัวเอง แล้วก็หวงเจียกับคอนจนออกนอกหน้า เลยไม่อยากให้เพื่อนสนิทตัวเองมาเที่ยวด้วย คอนก็แนวพระเอกเย็นชา ที่จริงเราแอบหมั่นไส้มันนะ นิสัยก็กวนทีน ปากแข็ง บลาๆ คาแรกเตอร์แบบพระเอกนิยายแจ่มใสเลยซัมเมอร์นี้คงวุ่นน่าดู ไปตามต่อในหนังสือเลยจ้า 





  10.It's Not Summer Without You


It used to be that Belly counted the days until summer, until she was back at Cousins Beach with Conrad and Jeremiah. But not this year. Not after Susannah got sick again and Conrad stopped caring. Everything that was right and good has fallen apart, leaving Belly wishing summer would never come.

But when Jeremiah calls saying Conrad has disappeared, Belly knows what she must do to make things right again. And it can only happen back at the beach house, the three of them together, the way things used to be. If this summer really and truly is the last summer, it should end the way it started--at Cousins Beach.


11.Endless Summer

Endless Summer (The Boys Next Door, #1-2)

Two irresistible boys. One unforgettable summer. 

Lori can’t wait for her summer at the lake. She loves wakeboarding and hanging with her friends—including the two hotties next door. With the Vader brothers, she's always been just one of the guys. Now that she’s turning sixteen, she wants to be seen as one of the girls, especially in the eyes of Sean, the older brother. But that’s not going to happen—not if the younger brother, Adam, can help it.

Lori plans to make Sean jealous by spending time with Adam. Adam has plans of his own for Lori. As the air heats up, so does this love triangle. Will Lori’s romantic summer melt into one hot mess?

12.Twenty Boy Summer

Twenty Boy Summer

เรื่องนี้เป็นเรื่องของแอนนาและเพื่อนสนิทของแอนนาชื่อว่า แฟรงกี้ ใน20วันที่ อ่าว zanzibar เป็นอะไรที่เฟอร์เฟคสุดๆเพราะพวกเธอจะได้พบชายหนุ่มทุกๆวันมันเป็นโอกาสดีที่แอนนาจะได้พบกับความโรแมนติกในฤดูร้อนครั้งแรกของเธอ แอนนามีความสุขกับการเล่นเกมชายหนุ่ม20คนนี้ แต่เธอไม่ได้บอกแฟรงกี้ว่าเธอมีความรักที่โรแมนติกมากกับพี่ชายของเธอ ก่อนเขาจะตายจากไปด้วยความโศกเศร้าและเธอพยายามทุกทางเพื่อที่จะให้เขากลับมา

Tuesday, March 8, 2016

7 years - Lukas Graham แปลเพลง



Once I was seven years old, my momma told me,
Go make yourself some friends or you'll be lonely.
Once I was seven years old.

ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันอายุ 7 ปี แม่เคยบอกฉันว่า
ออกไปหาเพื่อนบ้างนะไม่อย่างงั้นลูกจะเหงา
ในตอนนั้นที่ฉันอายุ 7 ปี

It was a big big world, but we thought we were bigger.
Pushing each other to the limits, we won't learn them quicker.
By eleven smoking herb and drinking burning liquor
Never rich so we were out to make that steady figure

มันคือโลกที่กว้างใหญ่, แต่พวกเรากลับคิดว่าเรายิ่งใหญ่กว่ามัน
ผลักดันกันและกันไปจนถึงขีดจำกัด,แต่เราไม่ได้เรียนรู้มันเร็วขึ้น
ตอนอายุ 11 ปี เราก็สูบกัญชาและดื่มเหล้าแล้ว
เพราะไม่เคยรวยมาก่อนพวกเราเลยออกไปทำงานที่ได้เงินอย่างมั่นคง

Once I was eleven years old, my daddy told me,
Go get yourself a wife or you'll be lonely.
Once I was eleven years old.

ตอนฉันอายุ 11 ปี พ่อก็เคยบอกฉันว่า
มีภรรยาได้แล้วนะไม่อย่างงั้นลูกจะเหงา
ในตอนนั้นที่ฉันอายุ 11 ปี

I always had that dream like my daddy before me
So I started writing songs, I started writing stories
Something about that glory, just always seemed to bore me,
Cause only those I really love will ever really know me

ฉันเคยมีความฝันเหมือนที่พ่อของฉันมีมาก่อน
ดังนั้นฉันจึงเริ่มเขียนบทเพลงและเริ่มเขียนเรื่องราว
เกี่ยวกับความสำเร็จที่มักจะทำให้ฉันเบื่อเสมอ
เพราะมีเพียงแค่คนที่ฉันรักเท่านั้น จึงจะรู้จักฉันดี

Once I was twenty years old, my story got told,
Before the morning sun, when life was lonely.
Once I was twenty years old.

พอฉันอายุ 20 ปี เรื่องราวของฉันก็ถูกเล่าว่า
ก่อนพระอาทิตย์จะมาเยือน ในตอนที่ชีวิตโดดเดี่ยว
ตอนที่ฉันอายุ 20 ปี

I only see my goals, I don't believe in failure.
Cause I know the smallest voices, they can make it major.
I got my boys with me at least those in favour,
And if we don't see before I leave, I hope to see you later.

ฉันมองเห็นเพียงเป้าหมายของฉันเอง,ฉันไม่เชื่อในความล้มเหลว
เพราะฉันรู้ว่าเสียงที่เล็กที่สุด ก็สามาถทำให้มันยิ่งใหญ่ได้
ฉันมี่เพื่อนๆอยู่กับฉัน อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานั้น
และถ้าพวกเราจะไม่ได้เจอกัน และก่อนฉันจากไป ก็หวังว่าเราจะมาพบกันอีกนะ


Once I was 20 years old, my story got told
I was writing about everything, I saw before me
Once I was 20 years old.

พอฉันอายุ 20 ปี เรื่องราวของฉันก็ถูกเล่าว่า
ฉันเขียนเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ฉันได้พบเจอมา
ตอนที่ฉันอายุ 20 ปี

Soon we'll be 30 years old, our songs have been sold,
We've traveled around the world and we're still rolling.
Soon we'll be 30 years old.

เร็วๆนี้พวกเราก็จะอายุ 30 ปีและเพลงของพวกเราก็ขายได้แล้ว
พวกเราได้เดินทางรอบโลกและยังจะเดินทางต่อไป
ในเร็วๆนี้ที่พวกเราอายุ 30 ปี

I'm still learning about life
My woman brought children for me
So I can sing them all my songs
And I can tell them stories
Most of my boys are with me
Some are still out seeking glory
And some I had to leave behind

ตอนนี้ฉันยังเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต
ภรรยาของฉันได้คลอดลูกมาเพื่อฉัน
เพื่อให้ฉันได้ร้องเพลงทุกเพลงของฉันให้พวกเขาฟัง
และจะได้บอกเรื่องราวต่างๆแก่พวกเขา
เพื่อนๆส่วนใหญ่ยังอยู่กับฉันนะ
บางคนก็ยังคงมองหาความสำเร็จอยู่
และบางคนฉันก็ได้เพียวทิ้งไว้ข้างหลัง


My brother I'm still sorry
เพื่อนของฉัน ฉันขอโทษนะ

Remember life and then your life becomes a better one
I made a man so happy when I wrote a letter once
I hope my children come and visit, once or twice a month

จดจำชีวิตนี้ไว้แล้วชีวิตของเธอจะดีขึ้นเอง
ฉันทำให้พ่อดีใจครั้งหนึ่งตอนที่ฉันเขียนจดหมายถึงเขา
ฉันหวังว่าลูกๆของฉันจะมาเยี่ยมเยียนกันบ้างนะ ซักเดือนละหนึ่งหรือสองครั้งก็ได้

Soon I'll be 60 years old, will I think the world is cold?
Or will I have a lot of children who can warm me
Soon I'll be 60 years old
Soon I'll be 60 years old, will I think the world is cold?
Or will I have a lot of children who can hold me

ฉันจะอายุ 60 ปีเร็วๆนี้แล้ว , ฉันยังจะคิดว่าโลกนี้เยือกเย็นอยู่มั้ย
หรือว่าฉันจะมีเด็กๆมากมายที่สามารถทำให้ฉันอบอุ่นได้
เดี๋ยวฉันก็จะออายุ 60 ปีแล้ว 
ฉันจะอายุ 60 ปีเร็วๆนี้แล้ว , ฉันยังจะคิดว่าโลกนี้เยือกเย็นอยู่มั้ย
หรือว่าฉันจะมีเด็กๆมากมายที่สามารถกอดฉันได้

Once I was seven years old, my momma told me,
Go make yourself some friends or you'll be lonely.
Once I was seven years old.

ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันอายุ 7 ปี แม่เคยบอกฉันว่า
ออกไปหาเพื่อนบ้างนะไม่อย่างงั้นลูกจะเหงา
ในตอนนั้นที่ฉันอายุ 7 ปี

Sunday, March 6, 2016

10 อันดับภาพยนตร์แฟชั่นสำหรับสาวๆที่ชื่นชอบแฟชั่นห้ามพลาด !


   

              The Devil Wears Prada (2006)





แอนเดรีย แซคส์ เป็นเหมือนนักศึกษาจบใหม่ทั่วไป ที่ต้องออกตระเวนสมัครงานไปตามที่ต่างๆ เนื่องจากแอนเดรียมีความฝันอยากทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ เธอจึงส่งจดหมายสมัครงานไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ หลายแห่ง แต่โชคร้ายที่ไม่มีแห่งใดตอบรับเธอกลับมาเลย
วันหนึ่ง แอนเดรียก็ได้รับแจ้งเรียกตัวเข้ารับการสอบสัมภาษณ์จากสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ๋ อีเลียส คลาร์กส ซึ่งเป็นเจ้าของนิตยสารและวารสารขายดีหลายฉบับ แอนเดรียตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเธอไปถึง ก็ได้พบว่างานที่ถูกเรียกมาสัมภาษณ์นั้น เป็นตำแหน่งงานผู้ช่วยของมิแรนด้า พรีสท์ลี่ บรรณาธิการบริหารของนิตยสารแฟชั่นอันดับ 1 อย่างรันเวย์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตำแหน่งที่หญิงสาวนับล้านคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา แอนเดรียซึ่งไม่เคยสนใจในเรื่องแฟชั่นมาก่อน ถึงกับหมดหวังที่จะผ่านการสอบสัมภาษณ์ แต่ทว่าความแตกต่าง ไม่เหมือนใครของเธอ กลับทำให้มิแรนด้าสนใจ และตกลงรับเธอเข้าทำงาน
แอนเดรียดีใจที่ได้งาน แต่แล้วเธอก็ได้รู้ว่าฝันร้ายเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น เมื่อตำแหน่งงานผู้ช่วยนี้ ทำให้เธอแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตนเอง นอกจากนี้เธอยังต้องคอยทำงานทุกอย่างที่มิแรนด้าส่งมาให้ ไม่ว่างานนั้นจะเกี่ยวกับงาน หรือเรื่องส่วนตัวของมิแรนด้า

อย่างไรก็ตาม แอนเดรียได้เรียนรู้ว่า การทำงานในวงการแฟชั่นนั้น แม้ภายนอกจะดูสวยงาม เลิศหรู แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ กลุ่มคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ล้วนแต่ต้องใช้ความพยายาม และความทุ่มเทอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับออกมา ความร้ายกาจ ความเข้มงวด ความจุกจิกจู้จี้ และเอาแต่ใจจนดูเหมือนไร้เหตุผลของมิแรนด้า กลับเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้นิตยสารอย่างรันเวย์ ยังคงครองความนิยมเป็นอันดับ 1 อยู่ได้
แต่แอนเดรียจะทำอย่างไร เมื่องานในวงการแฟชั่น ไม่ได้ต้องการแค่คนตั้งใจทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีทั้งความทุ่มเท และจิตใจที่มุ่งมั่นและรักในงานแฟชั่นอย่างจริงจัง
คะแนน 9/10


           Coco Before Chanel (2009).





เด็กหญิงผู้ถูกส่งไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมน้องสาว และเฝ้ารอคอยอย่างไร้ความหวังทุกวันอาทิตย์ เพื่อให้พ่อมารับกลับบ้าน


นักแสดงคาบาเรต์ไร้พลังเสียง ผู้ต้องร้องเพลงขับกล่อมพวกทหารขี้เมา ช่างตัดเสื้อต้อยต่ำ ผู้ทำหน้าที่เย็บชายผ้าอยู่หลังร้านตัดเสื้อผ้าบ้านนอก สาวน้อยผอมบาง ผู้อยู่ในการคุ้มครองดูแลของเอเตียง บาซอง ท่ามกลางความเกียจคร้านและเสื่อมโทรม ผู้หญิงที่รู้ดีว่าเธอไม่มีวันเป็นภรรยาของใครได้ จึงปฏิเสธคำขอแต่งงานของบอย คาเพล ผู้ชายที่รักเธอ คนนอกคอกผู้ต่อต้านธรรมเนียมอันกดขี่ในยุคของตน ด้วยการแต่งกายตามแบบที่ตัวเองต้องการ…


ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของกาบริแอล ชาเนล ผู้เริ่มต้นจากการเป็นเด็กกำพร้าหัวแข็ง ผ่านเส้นทางชีวิตสุดพิเศษ สู่การเป็นช่างทำเสื้อผ้าระดับตำนานที่สร้างภาพลักษณ์ตัวตนให้ผู้หญิงสมัย ใหม่ จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ อิสรภาพ และความหรูหรา

คะแนน 9/10

             

Sex and the City (2008)




   แคร์รี่ แบรดชอว์ นักเขียนผู้ประสบความสำเร็จและต้นแบบแฟชั่นที่หญิงทุก ๆ คนชื่นชมกลับมาแล้ว การบอกเล่าเรื่องราวแกมประชดอย่างปราดเปรื่องของเธอเฉียบคมยิ่งกว่าเดิม เมื่อเธอสานต่อการถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตรัก เซ็กส์ และคลั่งแฟชั่นของหญิงโสดในนิวยอร์กซิตี้ ภาพยนตร์เรื่อง Sex and the City จะเปิดเผยให้เห็นชีวิตของแคร์รี่ ซาแมนต้าชาร์ลอต  และมิแรนด้าสี่ปีจากซีรี่ส์ยอดฮิตทางช่อง HBO จบลง


 ในขณะที่บรรดาผองเพื่อนคนโปรดของเรายังคงโลดแล่นในหน้าที่การงานและความ สัมพันธ์และในขณะเดียวกับที่ประคับประคองความเป็นแม่ ชีวิตแต่งงานและวงการอสังหาริมทรัพย์ในแมนฮัตตัน…ซึ่งบางคนอาจจะ คิดอย่างเข้าข้างตัวเอง กล้าเผชิญหน้าในเขตอื่น ๆ นอกแมนฮัตตัน
คะแนน 8/10



In Vogue: The Editor’s Eye, Vogue (2012).



เรื่องราวหลากหลายมุมมองของบุคคลากรแฟชั่นชั้นนำระดับโลก ถ่ายทอดเรื่องราวของ Vogue ได้เป็นอย่างดี หนังความยาวเกือบหนึ่งชั่วโมง ที่ให้อะไรมากกว่าบทสัมภาษณ์แบบเดิมๆ ผมเชื่อมั่นเสมอว่าคนที่จะทำงานในแวดวงแฟชั่น มีเพียงแค่ความขยันและความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสัมผัสพิเศษอะไรบางอย่างเกี่ยวกับแฟชั่น ถึงจะสามารถทำงานได้นานและประสบความสำเร็จ ไม่อย่างนั้นคงเป็นอาชีพที่ทุกคนทำได้ มันไม่ใช่แค่รสนิยมในความงาม 


แต่มันคือการเข้าถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในของมนุษย์ ความต้องการภายในจิตใจที่ทุกคนต้องการที่ถูกนำเสนอผ่านแฟชั่น ให้ทุกคนได้มีความสุขไปด้วยกัน ฝันไปด้วยกัน และอยากจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการ 
คะแนน 7/10


          Dior and I (2014)



ใน Dior and I คือ Raf Simons, Creative Director คนใหม่ของแบรนด์ดัง Christian Dior ที่มาเสียบแทน john Galliano ที่กระเด็นไปแบบกะทันหัน Raf มีเวลาเพียง 8 สัปดาห์ในการทำ Collection Haute Couture ซึ่งปกติต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน แน่นอนมันก็ต้องทำได้แหละ เพราะงานมันก็ออกมาให้เห็นแล้วใน Season Fall/Winter 2012 แต่เบื้องหลังสิที่น่าสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง



คนรักแฟชั่นจะต้องร้องซี้ดไปกับการเจาะลึกกระบวนการสร้างสรรค์ของทีม Dior, Raf ผู้เคยกุมบังเหียน Jil Sander แบรนด์เด่นด้าน Minimalism ถูกตั้งคำถามว่าจะพาแบรนด์อ่อนหวานดีเทลฟรุ้งฟริ้งอย่าง Dior ไปรอดหรือไม่ เพราะพื้นเพนางมาจาก Ready to Wear และ Menswear การทำงานใต้ข้อจำกัดเวลาของ Raf น่าสนใจคือนางขุดลุคคลาสสิคจาก Archive มาทำการดัดแปลงให้ทันสมัยแบบเร็ว ๆ ไม่ sketch โดยให้นางแบบสวมใส่แล้วปรับลุคเลย เช่น ยกชายกระโปรงให้สั้นขึ้น, สีนี้ไม่โดนเหรอ พ่นสเปรย์เปลี่ยนเบย ฯล

คะแนน9/10
ข้อมูลจาก:  https://www.facebook.com/jijabanang



                Confessions of a Shopaholic (2009)



รีเบคกา บลูมวูด (ฟิชเชอร์) เป็นสาวหวานทรงสเน่ห์แห่งนิวยอร์คซิตี้ ผู้มีปัญหาเล็กๆน้อยๆ ที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่บึ้มในเวลาอันสั้น เธอเสพติดการช้อปปิ้งจนถอนตัวไม่ขึ้นและกำลังจมลงสู่ก้นบึ้งของหนี้สินจำนวนมหาศาล ในขณะที่เธอไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปทำงานในฝันกับนิตยสารแฟชั่นชื่อดังได้ จนกระทั่งเธอได้งานเป็นนักเขียนคอลัมน์แนะนำในนิตยสารการเงินเล่มใหม่ในเครือบริษัทเดียวกัน



เพียงชั่วข้ามคืน คอลัมน์ของเธอกลับฮิตติดลมบนจนทำเธอกลายเป็นคนดังขึ้นมา แต่เมื่ออาการเสพติดช้อปปิ้งและบรรดาหนี้สินที่เพิ่มพูนขึ้นเริ่มคลืบคลานเข้ามามีผลกระทบกับชีวิตรักและหน้าที่การงานของเธอ เธอจึงต้องทำการปฏิวัติตัวเองครั้งยิ่งใหญ่และจัดระเบียบชีวิตเธอเองว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
คะแนน 10/10


             Breakfast at Tiffany’s (1961).





เมื่อคุณ Paul Varjak นักเขียนไส้แห้งย้ายเข้ามาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใหม่  เขาสนใจบุคลิกและชีวิตของเพื่อนบ้านสาวสังคมนามว่า มิส Holly Golightly เข้าเต็มเปา เพราะเธอชอบทำตัวประหลาดๆ ชอบจัดปาร์ตี้ตอนกลางคืน แต่ก็ชอบเอาแซนด์วิชไปยืนกินหน้าร้าน Tiffany's ตอนเช้า  เนื้อแท้ข้างในเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนนึงที่กลัวความรักเอามากๆ เท่านั้นเอง

คะแนน 9/10


   The September Issue (2009).



The September Issue ภาพยนตร์ที่แฉเบื้องหลังวงการแฟชั่น แบบติดขอบเวทีชนิดที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ด้วยการเจาะเกาะติดชีวิตของ แอนนา วินทัวร์ (Anna Wintour) บรรณาธิการบริการนิตยสารแฟชั่น Vogue และทีมงานของเธอ ในกระบวนการสร้างสิ่งที่เรียกว่า “คำภีร์ไบเบิ้ลของแฟชั่น” นั่นก็คือ นิตยสาร Vogue อเมริกา ฉบับเดือนกันยายน ปี 2007Vogue 



เป็นนิตยสารแฟชั่นที่มีความหนามากที่สุดในประวัติศาสตร์ หนาถึง 840 หน้า และชี้เป็นชี้ตายเทรนด์แฟชั่นในปีถัดมา ทุกหน้าเป็นหน้าสี อัดแน่นแฟชั่นเซตของแต่ละแบรนด์ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20 หน้า ซึ่งเมื่อนิตยสารออกขายมันขายได้มากกว่า 13 ล้านเล่ม และทำให้มีเงินหมุนเวียนภายในโลกแฟชั่นมากกว่า 300 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่ามากที่สุดสำหรับการตีพิมพ์นิตยสารเพียงเล่มเดียว

คะแนน 8/10


  

   Zoolander (2001).




โลกของ ดีเร็ค ซูแลนเดอร์ กำลังสั่นสะเทือน เมื่อชัยชนะที่คาดหวัง ว่าจะได้เป็นซุปเปอร์โมเดลชายแห่งปี เป็นปีที่สี่ติดต่อกันของเขา กำลังจะล่องลอยไป เมื่อตำแหน่งนี้กำลังจะตกเป็นของคู่แข่งขัน ซึ่งเป็นนายแบบหน้าใหม่อย่าง แฮนเซล เมื่อดีเร็คต้องเผชิญกับความจริงอันน่าสลดว่า เขาไม่ใช่ซุปเปอร์โมเดลหมายเลขหนึ่งของโลกอีกต่อไป เขาเริ่มแสวงหาเป้าหมายของชีวิต และกลับสู่บ้านเกิดที่ทางใต้ของนิวเจอร์ซี เพื่อทำงานในเหมืองถ่านหินกับพ่อและน้องชาย โชคไม่ดีที่ ลาร์รี่ ซูแลนเดอร์ พ่อของดีเร็ค ซึ่งเป็นชนชั้นแรงงาน รู้สึกอายที่มีลูกทำงานอาชีพที่ไม่สมความเป็นชาย เมื่อถูกครอบครัวปฏิเสธ ดีเร็คจึงกลับสู่แมนฮัตตัน


 ซึ่งขณะนี้ต่างก็นิยมชมชอบในตัวแฮนเซลมาก จนเกินกว่าดีเร็คจะรับได้ ทั้งแฮนแซลและดีเร็ค จึงต้องขึ้นประชันกันด้านการเดินแบบ ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นตัวชี้ชะตาว่า ใครจะได้เป็นสุดยอดนายแบบซุปเปอร์โมเดลผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีทักษะการเดินแบบที่เยี่ยมยอดที่สุด

คะแนน 10/10


   Bill Cunningham New York (2010).




พวกเราลุกขึ้นมาแต่งตัวเพื่อ Bill กันทั้งนั้น กล่าวโดย Anna Wintour บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร Vogue ใครคือ Bill ที่ว่ากันนะเหรอ? เขาก็คือ Bill Cunningham ช่างภาพสตรีทแฟชั่นมือฉมังวัย 86 ปี แห่งหนังสือพิมพ์ The New York Times ผู้คอยถ่ายภาพการแต่งกายของผู้คนในนิวยอร์คมาลงในคอลัมน์ “On the Street” และ “Evening Hours” ของแกตั้งแต่ปี 1970  นู่น (ใครที่คิดว่าช่างภาพแนวสตรีทสไตล์เป็นของใหม่ นี่ให้รีบเปลี่ยนความคิดด่วน) แกถือเป็น legend ที่คนในวงการแฟชั่นต่างเคารพรัก หนังสารคดีที่ว่านี้ได้คอยตามติดชีวิตลุง Bill ซึ่งในทุกๆ วันแกจะปั่นจักรยานคู่ใจคันเก่าไปปักหลักแถวๆย่าน Fifth Avenue หน้าห้าง Bergdorf Goodman เพื่อรอถ่ายรูปคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนน 


เพื่อเอามาลงคอลัมน์ที่แกเขียนทุกๆวันอาทิตย์ให้กับหนังสือพิมพ์  The New York Times สำหรับใครที่อยากมีอาชีพเป็นช่างภาพสตรีทแฟชั่น หรือเป็นคนรักการถ่ายรูป บอกเลยว่าควรหาหนังเรื่องนี้มาดู เพราะเป็นหนังที่ inspiring มากๆ ดูแล้วจะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขี้น โดยเฉพาะในเรื่องของเงินที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเสมอไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสุขจากการได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักต่างหากที่สำคัญกว่า

คะแนน 8/10
ข้อมูลจาก http://www.dooddot.com/

Thursday, March 3, 2016

รวม 9 คู่คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เวลาจะเอามาใช้เมื่อไหร่เป็นต้องสับทุกที

1. Lose and Loose

Lose – คำนี้ออกเสียง 'z'  แปลว่าไม่มีสิ่งนั้นอีกแล้ว ขาดทุน,สูญ,เสีย,แพ้,ทำให้สูญเสีย,พลาด,เสียโอกาส vi. ได้รับความเสียหาย,แพ้,เล่นเสีย

  • I don’t want my football team to lose the game.
      (ฉันไม่อยากให้ทีมฟุตบอลของเราแพ้การแข่งขัน)
Loose – คำนี้ออกเสียง 's' มีความหมายว่าหลวม,ไม่แน่น,ว่าง,ไม่มีงานทำ,หย่อน,กระชับ,แพศยา,กว้าง,ใจกว้าง หลวม,หย่อน,ไม่แน่น  ทำให้เป็นอิสระ,ปล่อยให้เป็นอิสระ,แก้มัด,คายปม,ปล่อยขีปนาวุธ,ทำให้หลวม

  • loose sweater feels very comfortable.
      (เสื้อกันหนาวหลวมๆใส่แล้วรู้สึกสบาย)

2. Resign and Re-sign

สองคำนี้เขียนเหมือนกันแต่สิ่งที่ทำให้ความหมายต่างกันก็คือ - นั่นเอง
Resign — หากเป็นคำนี้ไม่มี - (ขีดตรงกลาง) จะหมายความว่า ลาออกจากงาน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Resign
Re-sign — หากมี - คั่นไว้จะมีความหมายตรงข้ามกับ resign ข้างบนที่แปลว่าลาออก ในที่นี้มีความหมายว่ายังอยู่ต่อ หรือกลับมาสัญญาใหม่อีกครั้ง






3. Advice and Advise

คำนี้หลายคนต้องสับสนแน่ๆเวลาใช้เพราะนอกจากจะสะกดคล้ายกันแล้วยังอ่านคล้ายกันอีก เอ้าาางานนี้มีมึนจ้า
Advice —  เป็นคำนาม* แปลว่า ข้อเสนอแนะ, การเสนอแนะ, คำปรึกษา, ข้อคิดเห็น
  • My father gave me one piece of advice – “Always be on time.”
        (พ่อให้ข้อเสนอแนะฉันมาว่า "เราควรจะตรงต่อเวลา")
Advise — เป็นคำกริยา* แปลว่า ชี้แนะ แจ้งให้ทราบ แนะนำ
  • She advised me to invest my money more carefully.
        (เธอแนะนำฉันให้ใช้เงินลงทุนอย่างระมัดระวังมากกว่านี้)



4. Affect and Effect















affect – (แอฟ-เฟ็คท์ )ส่วนใหญ่จะใช้เป็น Verb ที่มีความหมายว่า “ส่งผลกระทบ” ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

The Asean Economic Community will affect many companies in Thailand.
(ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะส่งผลกระทบต่อหลายๆบริษัทในประเทศไทย)

The drought affects the growth of plants.
(ภัยแล้งส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช)



effect – (อี-เฟ้คท์) คำนี้เป็น Noun ที่หมายความว่า “ผลกระทบ” เช่น

Global warming has severe effects on humans.
(ภาวะโลกร้อนมีผลกระทบที่รุนแรงต่อมนุษย์)



5. Compliment and Complement


Complement – เป็นได้ทั้ง noun และ verb โดยหมายถึงการที่บางสิ่งบางอย่างทำให้สิ่งอื่นดูดีขึ้นหรือสมบูรณ์ เช่น ‘The wine really complements the main course’ ประโยคนี้หมายความว่า wine กับ main course นั้นรสชาติดีมากเมื่อเสิร์ฟด้วยกัน

Compliment – เป็นได้ทั้ง noun และ verb เช่นกัน โดยที่ compliment คือสิ่งดีๆ ที่คุณพูดถึงใครบางคน เช่น เมื่อคุณบอกใครบางคนว่า ‘I like your shirt’ นั่นก็คือ compliment นั่นเอง

6. Disinterested and Uninterested



























Uninterested -(อันอิ้นเทร็สติด adjective) ไม่สนใจใน หรือ ไม่แสดงความสนใจต่อสิ่งใด หรือ บุคคลใด.

Tom is “uninterested” in science .
(ทอม ไม่สนใจใน วิทยาศาสตร์. )

Disinterested- (ดิสสิ้นเทร็สติด adjective) ไม่อยู่ข้างใน หรือ ไม่ชอบฝ่ายใด, ซึ่งคือ ความเป็นกลาง.

 All referees should be “disinterested”.
 (กรรมการทั้งหมดต้องไม่อยู่ข้างใด (เป็นกลาง).


 A good attorney  should provide “disinterested” advice. 
(ทนายที่ดีต้องให้คำแนะนำที่เป็นกลาง.)

7. Bear and Bare


Bear — .ในที่นี้เป็นคำกริยา*แปลว่าการถือของหนัก 
  • Don’t stand on that old chair, it cannot bear your weight.
      (อย่ายืนบกเก้ากี้เก่าตัวนั้นนะ ,มันรับน้ำหนักเธอไม่ได้)


Bare- เปลือยเปล่า เปลือย, ไม่มีเสื้อผ้า, ไม่มีเครื่องหุ้มห่อ 
  • bared my arm to show them my new tattoo (verb).
     (ฉันเปลือยแขนเพื่อโชว์รอยสักใหม่ให้พวกเขาดู)



8. Further and Farther

These two are very confusing. Further and farther both have the same meaning but are used in different situations. They’re pronounced in a similar way too, but with a difference – fur and far.
Farther  far — ไกลออกไปอีก ไกลออกไป, ห่างออกไปอีก
  • In a race, you can say “She ran farther and faster than him.”
(ในการแข่งขันคุณสามารถพูดได้ว่า'หล่อนสามารถวิ่งได้ไกลกว่าและเร็วกว่าเขา')
Further —  fur — ซึ่งเพิ่มเข้ามา ซึ่งเสริม, ซึ่งเพิ่มเติม 




  • The professor told us: “If you have any further questions you can ask me at the end.”
(ศาสตราจารย์บอกพวกเราว่า 'หากมีคำถามเพิ่มเติมเธอสามารถถามฉันได้ในตอนท้าย')



9. Hanged and Hung

The difference between hanged and hung can be deadly.
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ hang cloth
Hung - กริยาช่อง 2 ของ hang แปลว่าแขวน, ชะเงื้อม, ยื่น, ลอย, ห้อย, อาการห้อย
  • I hung the painting on the wall and I hung my clothes on the clothes line.
  (ฉันแขวนภาพวาดบนผนังและแขวนเสื้อของฉันไว้ที่ราวแขวนผ้า)

Hanged -แปลว่าแขวนคอ, ตายโหง, ถูกแขวนคอ, ผูกคอ (ตัวเอง)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ hanged
  • The judge sentenced the murderer to be hanged.
(คำตัดสินของฆาตการคือแขวนคอ)

แปลเพลง Honest - Justin bieber lyrics

  แปลเพลง Honest - Justin bieber lyrics Written, Edited & Directed by Cole Bennett Official “Honest” Lyrics  [Chorus: Justin Bieber] ...